โพสต์เมื่อ : 9 ก.ค. 2563
ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้จ่ายลดลง แต่สินค้าประเภทที่ต้องใช้เงินก้อนในการซื้อไม่ว่าจะเป็น ที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ก็เป็นกลุ่มสินค้าที่ใครหลายคนหลีกเลี่ยงที่จะซื้อในเวลานี้ และเมื่อพูดถึงสินค้ากลุ่มนี้แล้ว แน่นอนว่าธุรกิจที่ได้รับผลเสียอย่างรุนแรงก็คือ ‘สินค้าแบรนด์เนม’
โดยกลุ่มธุรกิจสินค้าหรูของฝรั่งเศสที่ชื่อ Kering ได้คาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาสแรกของปี 2020 จะลดลงถึง 19% บริษัทให้คำปรึกษาด้านการจัดการธุรกิจชั้นนำของโลกอย่าง Bain เองก็คาดการณ์ว่าธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมจะมียอดขายลดลงสูงสุดถึง 30% ซึ่งการที่ตลาดใหญ่ได้รับผลกระทบขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกที่ตลาดสินค้ามือสองจะซบเซาลงไม่ต่างกัน
วันนี้พี่แคชเลยจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจสาเหตุที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมซบเซาลง รวมถึงแนวโน้มของตลาดหลังเหตุการณ์โควิดนี้ด้วยครับ เพื่อเป็นข้อมูลให้ทุกคนได้นำไปพิจารณากันว่า ควรขายแบรนด์เนมช่วงนี้จริงๆหรือไม่?
3 สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ตลาดแบรนด์เนมมูลค่าลดลง
1) นักท่องเที่ยวจีนที่หายไป
โดยปกติแล้วมากกว่า 2 ใน 3 ของรายได้ของตลาดสินค้าแบรนด์เนมโลกมาจากนักท่องเที่ยว และมากกว่าครึ่งของการใช้จ่ายมาจากนักท่องเที่ยวจีนที่ซื้อสินค้าหรูระว่างการเดินทางต่างประเทศจนเป็นความเคยชิน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้คนจีนไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระอย่างที่เคยเป็น แบรนด์สินค้าเหล่านี้จึงต้องปรับตัวโดยการขายสินค้าให้กับคนในประเทศมากขึ้นแทน ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆยังอยู่ในช่วงปรับตัวเพื่อรักษายอดขายให้อยู่ในระดับปกติในช่วงนี้ครับ
2) งานเปิดตัวสินค้าที่ไร้คนดู
แม้ว่าสินค้าแบรนด์เนมจะมีรุ่นคลาสสิกที่ขายดีตลอดกาลแล้ว แต่แบรนด์ก็ยังคงพัฒนาสินค้าและออกCollectionใหม่และสร้างความประทับใจให้ทุกคนอยู่เรื่อยๆ Social Distancing ที่ทำให้กลายเป็นออนไลน์โชว์บนแพลตฟอร์มจึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้สีสันบนรันเวย์หายไป รวมถึงการที่โชว์ของบางแบรนด์ถูกเลื่อนออกไป ทำให้มีแค่สินค้าเดิมๆที่ยังคงวางขายอยู่ในตลาดเท่านั้นเอง
3) ความชอบของลูกค้าที่ไม่เหมือนเดิม
ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพื่อแลกกับความรู้สึกหรูหราผ่านการใช้งาน การใช้กระเป๋าหรือนาฬิกาแบรนด์เนมจึงเป็นประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับการไปเที่ยวโรงแรมหรือร้านอาหารสุดหรู ซึ่งกลุ่มที่มีความชอบแบบนี้กลับเป็น Babyboomers ที่ทุกวันนี้พอใจกับการสะสมสินค้าแบรนด์เนมและซื้อสินค้าประเภทนี้ลดลง ส่วนคนรุ่นใหม่อย่าง Millennials กลับมองหาสินค้าที่เหมาะกับการถ่ายรูป (Instagrammable) มากกว่าการชื่นชมความหรูหรา จึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้ไม่ครึกครื้นเหมือนเดิมครับ
ความซบเซาที่เกิดขึ้นในตลาดไม่ได้แปลว่าสินค้าแบรนด์เนมจะหมดความน่าสนใจลง เพราะเหล่าแบรนด์ชั้นนำของโลกก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามพัฒนาสินค้าและการบริหารจัดการให้เหมาะกับความชอบที่เปลี่ยนไป พี่แคชก็ไม่ลืมที่จะมาแชร์ทิศทางของสินค้าที่เปลี่ยนไปหลังจากสถานการณ์โควิดนี้มาให้ทุกคนครับ
ผ่านช่วงโควิดไป ตลาดแบรนด์เนมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
1) การนำเสนอCollectionที่ต่างจากเดิม
จากยอดขายในCollectionฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่ลดลงกว่า 70% ที่คาดว่าสาเหตุหลักมาจากการที่ลูกค้ายังไม่ทันได้รู้รายละเอียดที่แบรนด์ต้องนำเสนอเท่าที่ควรก็ต้องหยุดการขายเพราะประกาศล็อกดาวน์เสียแล้ว ทำให้แบรนด์ต่างๆต้องจัดการกับสินค้าที่มีและพยายามดึงความสนใจในCollectionถัดไปให้ดีกว่าที่เคยเพื่อนำรายได้มาชดเชยส่วนที่ขาดไป พี่แคชบอกเลยว่ารอส่วนลดของสินค้าเดิมและดูความปังของCollectionใหม่ได้เลย!
2) ให้เทคโนโลยีเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง
ด้วยความที่โลกมีแนวโน้มสูงที่จะก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มตัว ทำให้ระบบการดำเนินธุรกิจทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ผู้ประกอบการต้องพร้อมที่จะปรับรูปแบบธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้การคาดการณ์ทุกอย่างแม่นยำ ใช้เวลาน้อยลง และส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นจากการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพครับ
3) ประสบการณ์เหนือระดับจากยุคดิจิทัล
นอกจากการพัฒนาระบบหลังบ้านแล้ว วงการสินค้าแบรนด์เนมก็มีแนวโน้มที่จะให้ความสำตัญกับเทคโนโลยีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาร้านค้าออนไลน์อย่างการทำหน้าเว็บที่น่าสนใจไปจนถึงการจัดส่งที่มีคุณภาพโดยที่ไม่ต้องมาหน้าร้าน ไปจนถึงการให้ความสำคัญกับตลาด E-sport มากขึ้นจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นในเกมออนไลน์เพื่อให้คนจดจำและหันมาซื้อสินค้าแบรนด์เนมในชีวิตจริงด้วยครับ
ราคาจะลงไปเรื่อยๆไหม?
พี่แคชเชื่อว่าคำถามนี้คงอยู่ในใจของใครหลายคน แต่ตอนนี้ตลาดสินค้าแบรนด์เนมเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะมีราคาเพิ่มขึ้นหลังโควิด ด้วยความที่ชิ้นส่วนและวัตถุดิบต่างๆต้องมาจากประเทศจีน ประกอบกับต้องชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ราคาของสินค้าจึงต้องถูกปรับขึ้น อย่าง Chanel ก็ประกาศว่าจะมีการปรับราคาขึ้น 5-17% รวมถึง Tiffany & Co. ก็เริ่มที่จะขึ้นราคาสินค้า 10% สำหรับบางรายการอีกด้วย
ดังนั้นสำหรับใครที่ลงทุนในของสะสมแบรนด์เนมไว้ ก็อดทนรออีกสักนิดเพื่อให้แบรนด์ต่างๆได้ประกาศปรับราคาขึ้น พี่แคชยืนยันว่าได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าการถูกกดราคาในช่วงนี้อย่างแน่นอน แต่สำหรับใครที่มีปัญหาทางการเงินและรอไม่ไหว ก็สามารถใช้บริการโรงรับจำนำ Cash Express ที่ลิงก์นี้ได้เลย https://www.cashexpress-pawn.com/ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่จะได้กระเป๋าคืนแล้วนำไปเก็งกำไรต่อในช่วงที่ราคาปรับขึ้นแล้วครับ
อ้างอิง